เมื่อผู้บังคับบัญชาเลือกปฎิบัติ
ใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ ผลจะเป็นเช่นไร
พ.อ.ชัชวาล ธรรมนิรัต
ต้นเดือนสิงหาคมปีนี้
หนังสือพิมพ์หลายฉบับลงข่าว “ศาลอาญา ได้พิพากษาคดี กรณี อดีตอาจารย์ประจำ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเป็นโจทก์ฟ้อง
จำเลยซึ่งประกอบด้วยอดีตอธิการบดี และคณะอาจารย์ตำแหน่งผู้บังคับบัญชาและหรือทำหน้าที่เป็นกรรมการสอบสวน
ในความผิดอาญาฐาน
เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ”
ข้อเท็จจริง โจทก์เป็นอาจารย์ประจำได้ทำวิจัยและยื่นผลงานวิจัยกับเอกสารทางวิชาการ
เสนอคณะผู้บริหารของมหาวิทยาลัย เพื่อประกอบการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์
(ผ.ศ.) ต่อมามีผู้กล่าวหาว่าโจทก์ลอกเลียนผลงานทางวิชาการจากบุคคลอื่น
อดีตอธิการบดีจำเลยได้แต่งตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง(ชุดที่๑)สรุปการสอบสวนว่าการกระทำของโจทก์ว่าผิดวินัย
จึงมีการตั้ง กรรมการสอบวินัย(ชุดที่๒) ต่อมากรรมการมีมติให้ปลดโจทก์ออกจากราชการ
จากนั้นโจทก์ ได้ยื่นอุทธรณ์มติดังกล่าวต่ออนุกรรมการ(ชุดที่๒)
ซึ่งก็มีความเห็น(ใหม่)ว่ามิได้กระทำผิด โจทก์นำมติดังกล่าวไปแจ้งคณะกรรมการชุดใหญ่(ชุดที่๑)
แต่กลับเพิกเฉยไม่นำเรื่องเสนอโจทก์กลับเข้ารับราชการ ทำให้โจทก์เสียหาย
ท้ายที่สุดศาลอาญาได้พิเคราะห์พยานหลักฐานที่สองฝ่ายนำสืบแล้วเห็นว่า แม้โจทก์จะถูกกล่าวหาว่าลอกเลียนผลงานทางวิชาการ
แต่ก็ได้อ้างอิงแหล่งที่มาไว้ท้ายเล่ม ถือว่าไม่มีเจตนาปกปิด การกระทำของ อดีตอธิการบดีและกรรมการหรือผู้บังคับบัญชาบางคน เป็นการเลือกปฎิบัติ
ใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ เป็นการกระทำผิดตามฟ้อง
พิพากษาให้จำคุก ๒ ปี และ๑ ปี และปรับคนละ
๒๐,๐๐๐ บาทและ ๑๐,๐๐๐ บาทตามลำดับ
โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้กำหนด ๒ ปี
จากกรณีดังกล่าวมีข้อพิจารณาว่า (ผู้อ่านโปรดพิจารณาร่วมด้วย)
๑.ข้าราชการฯถ้ากระทำในตำแหน่งหน้าที่
ก็ถือว่าเป็นเจ้าพนักงาน ดังนั้นการกระทำอาจเป็นความผิดทางอาญาฐาน
เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบได้
๒.การปฏิเสธของจำเลย (อดีตอธิการบดีและกรรมการ)ว่า
“ได้รับร้องเรียนเรื่องดังกล่าว จึงตั้งคณะทำงานสอบสวนข้อเท็จจริงตามขั้นตอน และรับฟังข้อเท็จจริงจากทุกฝ่ายไปตามอำนาจหน้าที่และหลักวิชาการ
ไม่มีเจตนากลั่นแกล้ง” นั้น ศาลไม่เห็นพ้องด้วย
๓.คดีนี้น่าจะถือได้ว่าเป็นการลอกเลียนผลงานทางวิชาการแล้ว แต่ศาลให้ความสำคัญตรงที่ว่า “มีเจตนาปกปิดแหล่งที่มาหรือไม่” ดังนั้น การ “ลอกเลียน” กับ
“การปกปิดแหล่งที่มา” เป็นคนละประเด็นกัน
๔.การปลดโจทก์(อาจารย์)ด้วยข้อหาว่ากระทำผิดวินัย
ซึ่งศาลเชื่อว่าโจทก์ไม่มีเจตนาปกปิดแหล่งที่มาของข้อมูลทางวิชาการที่ลอกเลียน อาจถือตามคดีนี้ได้ว่า “ การลอกเลียน ถ้าได้อ้างอิงแหล่งที่มาไว้ท้ายเล่มแล้ว
ถือว่าไม่มีเจตนาปกปิด ไม่เป็นความผิดทางวินัย” และในทางกลับกัน
“ลอกเลียนไม่อ้างอิงแหล่งที่มา ถือว่ามีเจตนาปกปิด เป็นความผิดทางวินัย” (และเป็นการกระทำผิดจรรยาบรรณด้วย )
๕.การลอกเลียนผลงานทางวิชาการ ถ้าได้อ้างอิงแหล่งที่มาไว้ท้ายเล่ม
ศาลในคดีนี้ถือว่าไม่มีเจตนาปกปิด เนื่องจากข้อเท็จจริงนี้เกิดขึ้นในคดีอาญา
ถ้าเป็นคดีทรัพย์สินทางปัญญา อาจถือว่าเป็นละเมิดลิขสิทธิ์แล้ว(ข่าวสารสภาอาจารย์
สกศ.รร.จปร. ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๓๘หน้า ๕๕ .. “เขียนงานวิจัยอย่างไรไม่ติดคุก”) ดังนั้นการกระทำ(ลอกเลียน)ครั้งเดียวกันอาจเป็นความผิดได้ทั้งทางวินัย
และการละเมิดลิขสิทธิ์
๖.อธิการบดี(จำเลย)ใช้การดำเนินการทางวินัยกับอาจารย์(โจทก์) แต่อาจารย์เลือกฟ้องคดีอาญา(ซึ่งสามารถใช้การร้องเรียนทางวินัยและฟ้องคดีปกครองให้เพิกถอนคำสั่งปลดได้ด้วย) กรณีวินัยและอาญามีผลต่างกันคือ คดีวินัยผลร้ายแรงคือถูกปลด แต่คดีอาญาผลคืออาจถูกจำคุกและปรับ
ดังนั้นคดีทางวินัย กับคดีอาญา
เป็นคนละคดีที่มีผลต่างกัน
๗.การใช้ดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาควรใช้ความระมัดระวังเพราะอาจเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ฯอันจะทำให้เป็นความผิดทางอาญาได้
๘.การที่ศาลตัดสินว่าการกระทำของอธิการบดี
“เป็นการเลือกปฎิบัติ ใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ” นั้น น่าจะเป็นเพราะ
เมื่อศาลพิจารณาว่า –การกระทำของอาจารย์ไม่เป็นการปกปิด –ก็เท่ากับว่าไม่ได้ทำผิดวินัย
–การที่ไปเล่นงานทางวินัยโดยที่เขาไม่ผิดจึงเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ –การใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบเท่ากับปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอันเป็นความผิดทางอาญา
๙.เห็นได้ว่าศาลอาจจะนำข้อเท็จจริงที่ว่า
“อาจารย์ได้อุทธรณ์ต่อกรรมการชุดที่๒ และกรรมการเห็นด้วยว่าไม่ผิด
และอาจารย์ได้แจ้งคณะกรรมการชุดที่๑ แต่กลับเพิกเฉยไม่นำเรื่องเสนอให้โจทก์กลับเข้ารับราชการทำให้เสียหาย”
มาประกอบการวินิจฉัยตามข้อที่แล้วด้วย
๑๐.จากคำถามที่ว่า “เมื่อผู้บังคับบัญชาเลือกปฎิบัติ
ใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ ผลจะเป็นเช่นไร”นั้น
ตอบได้ว่า ผู้บังคับบัญชาอาจถูกฟ้องเป็นคดีอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
และอาจถูกศาลตัดสินให้จำคุกได้ด้วย
คดีนี้เป็นการตัดสินในศาลชั้นต้น
ยังมีการอุทธรณ์ ฎีกาต่อไป
ฉะนั้นยังไม่ถือว่าเป็นที่สุด โปรดติดตามต่อไป
---------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น